วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บัญชีรายรับ-รายจ่าย สร้างอนาคตให้ดีได้

     ด้วยภาวะสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยกระแสวัตถุนิยมนานัปการ จนกลายเป็นปัญหาสะสมลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของชีวิต โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินที่ไม่มีวันจบสิ้น
     แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ไม่จบสิ้นนั้นก็ยังมีทางออกมากมาย ที่จะช่วยให้เราอยู่รอดภายใต้การบีบคั้นในปัจจุบันซึ่งแนวทางหนึ่งที่เราควรยึดถือคือ การพึ่งตนเอง การรู้จักความพอประมาณ ตามแนวปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
     การทำ "บัญชีครัวเรือน" จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และควรอย่างยิ่งในการลงมือทำ ทั้งนี้บัญชีครัวเรือนไม่ได้หมายถึงการทำบัญชี หรือบันทึกรายรับ-รายจ่ายประจำวันเท่านั้น หากแต่ยังหมายรวมไปถึงการบันทึกข้อมูลด้านอื่น ๆ ในชีวิต ในครอบครัว เป็นต้น เช่น บัญชีทรัพย์สิน บัญชีพันธุ์พืช บัญชีพันธุ์ไม่ในบ้าน ในชุมชนของเรา บัญชีความรู้ความคิด บัญชีผู้รู้ในชุมชน บัญชีเด็กและเยาวชนในชุมชน บัญชีภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ เป็นต้น ปัญชีครัวเรือนจึงหมายความว่า บัญชีต่าง ๆ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ที่จดบันทึกไว้ทุกเรื่อง
     ความสำคัญของการทำบัญชีครัวเรือน สามารถทำให้เรารู้อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตได้ ซึ่งมีความสำคัญที่เราควรลงมือทำเพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
     1. ทำให้ตนเองและครอบครัวทราบรายรับ-รายจ่าย หนี้สิน และเงินคงเหลือในแต่ละวัน
     - รายรับ หรือรายได้คือ เงิน หรือสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าได้ ที่ได้รับจากการประกอบอาชีพ หรือผลตอบแทนที่ได้รับจากการให้ผู้อื่นใช้สินทรัพย์ หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รายได้จากค่าจ้างแรงงาน เงินเดือน ดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร หรือจากเงินให้กู้ยืม รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
     - รายจ่าย หรือค่าใช้จ่ายคือ เงิน หรือสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าได้ ที่จ่ายออกไปเพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนกลับมา สิ่งตอบแทนอาจเป็นสินค้า หรือบริการ เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า (ค่าสาธารณูปโภค) ค่าน้ำมัน ค่าหนังสือตำรา เป็นต้น หรือรายจ่ายอาจไม่ได้รับสิ่งตอบแทนเป็นสินค้าหรือบริการก็ได้ เช่น เงินบริจาคเพื่อการกุศล เงินทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นต้น
     - หนี้สิน คือ ภาระผูกพันที่ต้องชดใช้คืนในอนาคต การชดใช้อาจจ่ายเป็นเงินหรือของมีค่าที่ครอบครัวหรือตนเองมีอยู่ หนี้สินเป็นเงินหรือสิ่งของที่มีค่าที่ครอบครัวหรือตนเองได้รับมาจากบุคคลหรือแหล่งเงินภายนอก เช่น การกู้ยืมเงินจากเพื่อนบ้าน การกู้ยืมเงินจากกองทุนต่าง ๆ การซื้อสินค้าหรือบริการเป็นเงินเชื่อ การซื้อสินทรัพย์เป็นเงินผ่อนชำระ หรือการเช่าซื้อ เป็นต้น
     - เงินคงเหลือคือ เงิน หรือสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าได้หลังจากนำรายรับลบด้วยรายจ่าย แล้วปรากฏรายรับมากกว่ารายจ่ายจะทำให้มีเงินคงเหลือ หรือในหลักทางบัญชีเรียกว่ากำไร แต่หากหลังจากนำรายรับลบด้วยรายจ่ายแล้ว ปรากฏว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ จะทำให้เงินคงเหลือติดลบหรือทางปัญชีเรียกว่า ขาดทุน นั่นเอง
     2. นำข้อมูลการใช้จ่ายเงินภายในครอบครัว มาจัดเรียงลำดับความสำคัญของรายจ่าย และวางแผนการใช้จ่ายเงิน โดยพิจารณาแต่ละรายการในแต่ละวันว่ามีรายจ่ายใดที่มีความสำคัญมาก และรายจ่ายใดไม่จำเป็นให้ตัดออก เพื่อให้การใช้จ่ายเงินภายในครอบครัวมีพอใช้ และเหลือเก็บเพื่อการออมทรัพย์สำหรับใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็นในอนาคต บัญชีครัวเรือนถือเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
     โดยยึดหลัก 3 ข้อคือ การพอประมาณ ถ้ารู้รายรับ รายจ่าย ก็จะใช้แบบพอประมาณแต่มีเหตุผล รู้ว่ารายจ่ายใดจำเป็นไม่จำเป็น และเมื่อเหลือจากใช้จ่ายก็เก็บออม นั่นคือภูมิคุ้มกันที่เอาไว้คุ้มกันตัวเราและครอบครัว บัญชีครัวเรือนสามารถจัดได้หมด จึงนับว่ามีประโยชน์มาก
     ข้อควรระวังสำคัญในการจัดทำบัญชีครัวเรือนคือ ลืมบันทึกบัญชี ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการบันทึก และส่งผลให้ไม่อยากบันทึก ต่อมาคือการเข้าใจผิดในรายการบัญชี ไม่เข้าใจรายการที่เป็นรายรับ จึงไม่ได้บันทึกบัญชี เช่น ลูกส่งเงินมาให้พ่อแม่สำหรับใช้จ่ายทุกวันสิ้นเดือน แต่พ่อแม่ไม่ได้บันทึกบัญชีรายรับ เนื่องจากเข้าใจว่าเงินที่ได้รับมานั้นไม่ได้เกิดจาก การประกอบอาชีพของตนเอง หรือเข้าใจผิดรายการหนี้สินแต่บันทึกว่าเป็นรายรับ ทำให้ไม่ได้เก็บเงินไว้สำหรับจ่ายชำระหนี้ในอนาคต เช่น ยืมเงินจากเพื่อนบ้านมาใช้จ่ายภายในครอบครัวถึงแม้จะได้รับเงินมาแต่รายการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นรายรับเนื่องจากตนเองมีภาระผูกพันที่ต้องชดใช้ในอนาคต ซึ่งอาจต้องชดใช้เงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยด้วย จากสาเหตุดังกล่าวอาจทำให้ครอบครัววางแผนการใช้จ่ายเงินผิดพลาด
     ส่วนข้อผิดพลาดอีกประการหนึ่งคือ การเขียนชื่อรายการผิด การบันทึกตัวเลขผิด การบวก หรือการลบจำนวนเงินผิด อาจเกิดจาการลืมจดบันทึกรายการบัญชี หรือบันทึกรายการซ้ำ ๆ กันหลายรายการ ปัญหาดังกล่าวแก้ไขโดยการคำนวณจำนวนเงินที่กระทบยอดเงินคงเหลือในบัญชี กับยอดเงินฝากธนาคารที่ครอบครัวมีอยู่จริง หรือยอดเงินที่เก็บไว้สำหรับใช้จ่ายจริง ซึ่งหากพบว่ายอดเงินคงเหลือในบัญชีเท่ากับยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร แสดงว่าการจัดทำบัญชีถูกต้อง แต่หากกระทบยอดแล้ว ยอดเงินทั้งสองไม่เท่ากัน อาจเกิดจากการบันทึกบัญชีผิดพลาด หรือเงินสดของครอบครัวสูญหาย
     มาตอนนี้คงรู้แล้วว่าการจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก ยิ่งสภาวะเศรษฐกินไม่ดีเช่นนี้ อย่ามองข้ามการทำบัญชีครัวเรือน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยผลที่ตามมาจะบ่งบอกได้ว่า...ความมั่นคงในอนาคตของเรานั้นมีมากน้อยแค่ไหน ?

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กับคำถามที่ต้องถามก่อนใช้ชีวิตคู่

     คำว่ารักแท้แพ้ระยะทาง...ดูจะเชยไปแล้วสำหรับคนสมัยนี้ เพราะยังมีอีกมากมายหลายปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำหรับคู่รักสมัยใหม่ โดยเฉพาะเรื่อง "เงิน ๆ ทอง ๆ " ยิ่งเมื่อดูจากสถิติการอย่าร้างของคู่รักสมัยใหม่ด้วยแล้ว ระบุว่า 90% เลิกรากันเพราะปัญหาเรื่อง "เงิน ๆ ทอง ๆ "
     ดังนั้นสาว ๆ คนไหนที่กำลังตัดสินใจจะเซย์เยส หรือเซย์โนดี เมื่อชายคนรักขอแต่งงาน ควรไตร่ตรองถึงปัญหานี้ก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ ที่สำคัญอย่ามัวเกรงใจที่จะถามไถ่ถึงการวางแผนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของคนรัก ถ้าจะให้ดีลองตั้งคำถามเกี่ยวกับการเงินของทั้งคู่ ว่าจะมีแนวทางเป็นไปเช่นไร ? และช่วยกันตอนคำถามให้เคลียร์ก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ ซึ่งหากตอบคำถามร่วมกันได้ทั้งหมดแล้ว เชื่อแน่ว่าปัญหาเงิน ๆ ทอง ๆ ในครอบครัวจะไม่มาพรากความรักของคุณได้แน่
     จดทะเบียนสมรสกันดีไหม ? หนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่ค่อยจะแคร์เรื่องนี้กันเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อจดทะเบียนสมรสนั่นหมายความว่าทรัพย์สินของทั้งคุ่ที่หามาได้ก็ต้องถูกนำมารวมกันเรียกว่า สินสมรส หากมีปัญหาอยู่กันแล้วไปไม่รอดมีอันต้องหย่าร้าง เงินส่วนนี้จะถูกนำมาหารสองแม้ว่าคุณจะหามาได้มากกว่าก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทำให้หนุ่มสาวสมัยใหม่ โดยเฉพาะสาว ๆ รู้สึกว่าเธอขาดความคล่องตัวในหน้าที่การงาน ดังนั้น สาวบางคนพอใจที่จะขอเป็นโสดโดยนิตินัยดีกว่า แต่หากมองถึงสิทธิ์ที่ควรได้ในฐานะ "ภรรยา" ตามกฏหมาย การจดทะเบียนสมรสก็อำนวยสิทธิ์ให้หลายประการ โดยเฉพาะเมื่อมีลูกด้วยกันแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรส เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกหลานคุณ...
     แล้วใครล่ะที่จะเป็นคนจัดการเรื่องเงิน ? เป็นคำถามแรก ๆ ของคู่รักที่กำลังจะตัดสินใจแต่งงาน และยังเป็นคำถามที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันตอบ เพราะหากร่วมหอลงโรงกันแล้ว รายได้และทรัพย์สินหลังจากแต่งงานจะตกเป็นของกองกลางโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การจัดการดูแลเรื่องรายได้ รายจ่าย และหนี้สิน จึงต้องได้รับการจัดการและร่วมกันปรึกษาของคนทั้งคู่ เพื่อไม่ให้ขาด เกิน หรือเป็นหนี้จนต้องเดือดร้อนพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง...
     แล้วฉันต้องไปทำงานด้วยหรือ? ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลบ้าน  สามี และเตรียมตัวมีลูก โดยยึดแต่รายได้ของสามีมาจุนเจือครอบครัว จนลืมนึกถึงชีวิตส่วนตัว ทำให้กิจวัตรหลายอย่าง เช่น การช้อปปิ้ง จิบกาแฟกับเพื่อน ๆ เป็นแค่เรื่องวันวาน เนื่องจากไม่มีรายได้เพียงพอสำหรับหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตัว
     ดังนั้นอย่าลืมว่าการหยุดทำหงานคือการไม่มีรายได้ ถึงจะมีเงินเข้ามาจากรายได้ของสามี ให้เก็บออมเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวบ้าง แต่ก็คงต้องเก็บอีกนาน แต่หากเลือกไม่ได้ที่จะต้องลาออกจากงาน ก็ควรทำประกันสังคม หรือประกันชีวิตไว้ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่อายุยืนกว่าผู้ชาย
     รายได้ต้องการครึ่งไหม? รีบตกลงกันก่อนจะต้องมาทะเลาะกันว่า "ใครจะจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟเดือนนี้" วิธีง่าย ๆ ในการบริหารค่าใช้จ่ายในบ้าน คือ การเปิดบัญชีรวม โดยหักจากเปอร์เซ็นต์รายได้ของคุณแต่ละคนเท่า ๆ กัน ซึ่งดูจะยุติธรรมมากที่สุดแล้ว แต่สาว ๆ คนไหนที่บริหารเสน่ห์เก่ง ๆ หน่อย จะทำให้สามีแชร์เงินมาไว้กองกลางมากกว่าคุณก็ทำได้ แต่ที่สำคัญ อย่าลืมแยกบัญชีส่วนตัว เพื่อคุณจะได้มีเงินเก็บและมีเงินใช้ส่วนตัวด้วย
     ต้องช่วยสะสางหนี้ของคนรักด้วยไหม? หากสามีของคุณดันมีหนี้ก้อนโตก่อนมาขอคุณแต่งงาน อันนี้ก็ต้องรีบสะสางกันก่อนจะเซย์เยส เพราะตามหลักจริยธรรมแล้วคุณก็ต้องเข้ามาร่วมปลดหนี้กับเขาด้วย ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ทั้งคู่ควรปลดเปลื้องหนี้ของแต่ละคนให้หมดก่อนที่จะมาร่วมสร้างหนี้ด้วยกันใหม่ !!!
     คุยกันก่อนดีไหมว่าอนาคตการเงินของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร? ส่วนมากผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายจะไม่ค่อยคิดวางแผนการเงินเท่าไหร่ ดังนั้น ใครไม่ได้มีสามีเป็นักธุรกิจ ควรคุยกันเรื่องอนาคตการเงินสักหน่อย แต่หากไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร คู่รักสามารถปรึกษา และวางแผนครอบครัวกับผู้เชี่ยวชาญก่อน ดีกว่าปล่อยชีวิตให้แขวนอยู่บนเส้นด้าย และต้องหาเช้ากินค่ำกันยันแก่
     เมื่อร่วมกันตอบคำถามเหล่านี้ได้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าเราจะ...เซย์เยสหรือเซย์โน...ในการใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เผด็จศึกเมื่อสามี มีกิ๊ก 5 คน

     ผู้หญิงส่วนมาก เมื่อแต่งงานแล้วมักจะรักสามีแบบหมดหัวใจ และถ้ามีสามีแสนดี รักครอบครัวและเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่รักลูกสุดประเสริฐ ภรรยายิ่งปลื้มยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1
     แต่ถ้าจับได้ว่าสามีที่แสนดีเป็นอื่น เธอแทบอยากฆ่าสามีเสียให้ตาย ถ้าไม่กลัวติดคุกให้คนอื่นขำ อย่างไรก็ตาม ภรรยาหลายคนไม่รู้หรอกว่าเมื่อออกนอกบ้านไปสามีจะไปเจ๊าะแจ๊ะกับใคร เพราะเขาเข้าบ้านมาเมื่อไร จะเอาอกเอาใจเธอแบบหาที่ติไม่ได้ เพี่อกลบเกลื่อนความผิด
     ภรรยาก็ปลื้มที่สามีซื้อข้าวของให้ ลูกก็ประทับใจพ่อที่แสนดี(แบบเลว) แต่มาดีแตกตอนเขาตาย เมื่อภรรยามารู้ทีหลังว่าสามีเป็นอื่น ขณะที่เธอกำลังเศร้าโศก ก็มีผู้หญิงอื่นมาทำท่าโศกเศร้ายิ่งกว่าตัวให้คลางแคลงใจ เรื่องแบบนี้มีให้เห็นทั้งในไทย และต่าง ประเทศจนลงข่าวเกรียวกราว วันนี้ขอยกตัวอย่างในนิวยอร์กมาให้อ่านกันเล่น ๆ ค่ะ
     จูเลีย เมทส์ เล่าว่า ตอนเธออายุ 26 ปี ได้พบกับกอร์ดอน เชิรซิ์เวลล์ เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี และเอาอกเอาใจเธอ เหมือนเธอคือเทพธิดากลับชาติมาเกิดอย่างไรอย่างนั้น หลังจากคบกันมา 3 ปี จูเลียก็แต่งงานกับกอร์ดอน จนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ชื่อลิซ่า ชีวิตคู่ของจูเลียดูจะสมบูรณ์แบบ เพราะกอร์ดอนเป็นชายในฝันที่ผู้หญิงทุกคนคงอยากได้ ต่อมาเขาก็เป็นโรคตาย จูเลียเสียใจมากที่เขามาตายด้วยอายุแค่ 40 กว่าปี จูเลียบอกว่าชีวิตเธอเหมือนจะตายตามเขาไปด้วย โดยเฉพาะตอนจัดงานศพ เห็นโลงบรรจุศพก็ทำให้อาลัยอาวรณ์เขามาก
     แต่จูเลียต้องประหลาดใจ เมื่อแคธีเพื่อนรักที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว เข้าไปกอดโลงศพร้องไห้โหยหวนอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งกว่าเธอเสียอีก จูเลียงงที่แคธีดูจะโศกเศร้ากับการตายของสามีเธอเกินกว่าเหตุ แต่คิดไปว่าเธอคงเห็นใจที่เขาเป็นคนดี เธอมาถึงบางอ้อเมื่อไปอ่านอีเมล์หลังจากกอร์ดอนตายไป 7 เดือน จูเลียแทบเป็นลมเมื่อเห็นเขาส่งอีเมล์จีบสาวไปทั้ว และที่เธอโกรธมากก็ตรงที่อีเมล์ของเขาบ่งบอกว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสาว ๆ ถึง 5 คน และหนึ่งในห้าคนนั้น คือ เคธเพื่อนรักของเธอนั่นเอง จูเลียบอกว่า เธอเสียอกเสียใจที่สามีตายมายาวนานหลายเดือน และทุกทรมานใจเหลือที่จะกล่าวได้ แต่พอรู้ว่าสามีที่เธอรักและบูชาไม่ใช่คนดีอย่างที่เธอคิด จูเลียโกรธตัวเองที่หลงเลือกคนผิด เหมือนคนตาบอดที่เดินไปแบบไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว ความเศร้าโศรกเสียใจจึงกลายเป็นความโกรธ จนเธอไม่เสียใจที่เขาตาย เธอกลับคิดว่าเขาสมควรตาย ถ้าเขาอยู่เธออาจจะช้ำใจมากกว่านี้ก็ได้ จูเลียจึงเขียนหนังสือขายดี ชื่อ Perfection : A Memoir of Betrayal and Renewal เตือนสติผู้หญิงเรื่องชีวิตคู่ว่า อาจถูกหักหลังเอาง่าย ๆ และควรอยู่ต่อไปอย่างเป็นสุข
     จูเลียบอกต่อไปว่า ความแค้นของเธอไม่ได้ลดลง เธอจึงต้องทำอะไรสักอย่างให้หายอกกลัดหนอง วิธีของจูเลียคือการนัดพบผู้หญิงทุกคนที่กอร์ดอนไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง คนแรกเป็นแม่ม่ายอายุ 20 ปี กอร์ดอนพบเธอตอนเข้าไปออกกำลังกายในยิม อีกคนเป็นผู้บริหารในแมนฮัตตัน คนที่สามอยู่ในแคลิฟอร์เนีย กอร์ดอนมีแฟนไปทั้วได้ เพราะเขาต้องศึกษาวิจัยหนังสือ แต่จูเลียโกรธที่สุด คือ กอร์ดอนไปมีสัมพันธ์สวาทกับเคธเพี่อนสนิทของเธอ จูเลียกล่าวว่า ถ้าเธอฆ่าเคธได้เธอคงฆ่าไปแล้ว ในที่สุดเธอยื่นคำขาดให้เคธไปสารภาพกับสามีภายใน 1 อาทิตย์ ถ้าไม่ทำเธอจะไปบอกสามีเคธเอง เคธไม่มีทางเลือก จึงต้องสารภาพกับสามีว่าเธอ นอกใจเขาได้อย่างไร แต่ไม่มีข่าวว่าผลออกมาอย่างไร เคธยังอยู่กับสามี หรือเลิกกันไปแล้ว จูเลียขอให้กิ๊กของกอร์ดอนมาพบกับเธอ การพบกันครั้งนั้นทำให้จูเลียจิตใจสงบลง เพราะแต่ละคนยอมรับว่าทำผิดไป และขอโทษจูเลีย มีอยู่คนหนึ่งกลายเป็นเพื่อนของจูเลีย เพราะพอคุยกันมากขึ้นก็รู้ใจซึ่งกันและกัน  แม้แต่เคธที่จูเลียโกรธมากที่สุด เธอก็ทำใจได้ และให้อภัยเคธ เธอคิดว่าดีกว่ามานั่งคุมแค้นกัน จูเลียกับลูกสาวย้ายไปอยู่ที่บรูคลินในนิวยอร์ก จูเลียบอกว่าชีวิตเธอต้องเดินต่อไป และตอนนี้เธอก็มีผู้ชายที่จะช่วยให้เธอมีชีวิตอย่างสุขสบาย แม้แต่กอร์ดอนเธอก็ให้อภัยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามี และพ่อที่ดี เขาเคยทำสิ่งดี ๆ ให้กับเธอ เธอจึงอยากจำส่วนดี ๆ ที่เคยอยู่กับเขา ส่วนที่ร้ายก็ไม่อยากนึกถึง นี่คือความคิดที่ฉลาดสุด อย่าลืมชีวิตคู่เป็นสิ่งดี ถ้าเจอคนดี ๆ
     ถ้าเราเจอคนไม่ดีจริง ๆ ก็เลิกกันไป ดีกว่าต้องเห็นภาพอันไม่สุนทรต่อไปให้อกกลัดหนอง

สอนลูกออมทรัพย์

สอนลูกออมทรัพย์
     คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อย นอกจากจะหมั่นอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี และเฝ้ามองลูกน้อยเติบโตอย่างมีพัฒนาการ ทั้งทางด้านสติปัญญาและอารมณ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม คือ การปลูกฝั่งให้ลูกรักมีวินัยในการใช้จ่าย สอนให้ลูกรักมีความรู้ และฉลาดในเรื่องเงินทอง การใช้จ่าย การเก็บออม ซึ่งจะมีความสำคัญต่ออนาคตของลูกรักมากทีเดียวค่ะ
    
คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยพบเห็น หรือมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีหนี้อย่างล้นพ้นตัว แม้ว่าผู้ที่เป็นหนี้นั้นจะมีงานที่มีรายได้เป็นอย่างดี เพราะว่าการเป็นหนี้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหลายประการ เช่น การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยแบบเกินตัว การประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ที่เคยได้รับลดน้อยไปกว่าเดิม แต่ภาระค่าใช้จ่ายกลับมิได้ลดลง หรือประสบกับเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างกะทันหันมากกว่าเงินออมที่มี และรายได้ที่ได้รับ เหตุแห่งหนี้สินต่าง ๆ นี้ทำให้หลาย ๆ คนต้องมีความทุกข์กับการแบกรับหนี้สินที่เกิดขึ้น
    
ดังนั้นการปลูกฝังให้ลูกรักมีนิสัย "รู้รับ รู้จ่าย รู้ออม" นั้นจะช่วยป้องกัน หรือช่วยบรรเทาเหตุแห่งหนี้สินต่าง ๆ ได้ ในเวลาที่ลูกรักยังเด็ก พ่อแม่ควรซื้อกระปุกออมสิน และสอนให้ลูกรักได้รู้จักวิธีการออมเงินโดยการหยอดเงินลงไปในกระปุกออมสิน และเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็นำเงินไปใช้ตามความตั้งใจ เช่น ไปฝากธนาคาร ไปซื้อหนังสือเล่มโปรด หรือไปทำบุญ นอกจากการหยอดกระปุก พ่อแม่ยังสามารถพูดคุยกับลูกรักให้ได้รู้จักเงินในแง่มุมต่าง ๆ เช่น เงินใช้ทำอะไรได้บ้าง ต้องทำงานจึงจะได้เงินมา เงินออกดอกเหมือนต้นไม้ได้ด้วยหรือ
    
การพูดคุย และการสอนลูกรักเรื่องเงินทองนั้น สามารถสอดแทรกเข้าไปในกิจกรรรมต่าง ๆ ที่ทำระหว่างวันได้เช่นกัน เมื่อพาลูกรักออกไปซื้อของในตลาด หรือซูปเปอร์มาร์เกต สำหรับเด็กเล็ก ๆ นั้นนอกจากการสอนให้เด็กได้รู้จักสินค้า ผัก ผลไม้ประเภทต่าง ๆ แล้ว การสอนให้ลูกรักรู้จักดูราคาของสินค้านั้น ๆ ว่ามีราคาเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้เด็กได้ฝึกอ่านตัวเลข รู้จักหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย รวมถึงการสอนให้รู้จักถูกหรือแพง สำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็สามารถพูดคุยกับลูกถึงราคา และการเลือกซื้อผักผลไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล หรือการแข่งกันคาดเดาราคารวมของสินค้าที่ซื้อทั้งหมด ก็เป็นการฝึกฝนทักษะทางคณิตศาสตร์และความเพลิดเพลินระหว่างรอการจ่ายเงินค่ะ
    
นอกจากนี้ยังมีเคล็ด(ไม่)ลับดี ๆ เกี่ยวกับการสอนให้ลูกน้อยที่แสนน่ารักน่าชังของคุณพ่อคุณแม่ รู้จักการเก็บออมงินได้อย่างแยบยลด้วย ดังนี้
    
1. คุยเรื่องเงินให้ลูกเห็น  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ทำการค้า เมื่อถึงเวลาเคลียร์เงินขึ้นมาให้ขจัดอารมณ์ร้อน ๆ ที่เกิดจากการทุ่มเถียงกับลูกค้าเรื่องต่อรองราคา หรือเรื่องอื่น ๆ ออกไปก่อนแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คุยเรื่องตัวเงินอย่างชัดเจนให้ลูกฟังด้วย เขาจะได้เรียนรู้การจัดการเรื่องเงิน
    
2. อย่าโกหกลูกเรื่องเงิน  เวลาคุณพ่อหรือคุณแม่ไปซื้อของซึ่งสินค้าเหล่านั้นมีราคาแพงแล้วแอบอุ๊บอิ๊บกับลูกว่าอย่าไปบอกพ่อหรือแม่นะ ถือว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังสอนให้ลูกโกหกเรื่องเงิน เป็นการสร้างจิตสำนึกที่ผิด เพราะคุณพ่อคุณแม่กำลังสอนให้ลูกน้อยมีพฤติกรรมเลียนแบบการโกหกจากคุณพ่อคุณแม่ เมื่อพ่อแม่ทำได้ลูกเองก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
   
  3. รับจ้างทำงานบ้าน  คุณพ่อคุณแม่อาจแนะวิธีหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกด้วยการมอบหมายงานพิเศษให้ลูกทำโดยที่เราไม่ต้องไปจ้างคนอื่น เช่น ตัดหญ้า ทิ้งขยะ จ่ายค่าจ้างลูกเป็นครั้งคราวไป แต่ว่าต้องยืนยันกับเขาด้วยว่างานบ้านอย่างอื่นข้าก็ต้องช่วยโดยไม่ได้เงิน เพราะเป็นหน้าที่ของสมาชิกในบ้าน
    
4. เก็บเงินซื้อของ  คุณพ่อคุณแม่ควรซื้อกระปุก หรือพาลูกไปเปิดบัญชีให้เก็บเงินด้วยตนเอง โดยที่เราอาจจะให้เงินค่าขนมเกินไว้ประมาณ 10-20 บาทต่อวัน เพื่อสนับสนุนให้เขาเก็บเงินซื้อของที่อยากได้ด้วยตัวเอง
    
5. รู้รายรับรายจ่ายของบ้าน อธิบายให้ลูกฟังง่าย ๆ ว่ารายรับมาจากพ่อและแม่ช่วยกันทำงานได้ประมาณเดือนละเท่าไหร่ ส่วนรายจ่ายมีอะไรบ้าง เช่น ค่าเทอม ค่าไฟ ให้ลูกเห็นภาพรวม จะได้ช่วยประหยัดรายจ่ายภายในบ้าน
    
6. สอนลูกช้อปปิ้ง  เวลาไปซื้อของที่ซูปเปอร์มาร์เกต ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดสดใกล้บ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกช่วยดูสินค้าตามโพยที่ได้จดมา โดยเปรียบเทียบราคา และปริมาณ นอกจากนั้นยังช่วยให้ไม่ซื้อสินค้านอกเหนือรายการได้ด้วย
    
7. เรียนรู้เรื่องบัตร  บางครั้งเด็กที่โตแล้วมักอยากรู้ว่ามีอะไรในกระเป๋าสตางค์คุณพ่อคุณแม่บ้าง ควรสอนให้ลูกเรียนรู้การทำงานของบัตรเครดิตว่าอำนวยความสะดวกสิ่งใดให้เราได้บ้าง และข้อเสียที่จะตามมาเมื่อใช้จนเกินความจำเป็น รวมทั้งบัตรส่วนลดอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ด้วย
   
  8. โฆษณาสอนลูก  สอนให้ลูกรู้เท่าทันโฆษณาต่าง ๆ อย่างเช่น ชวนดูโฆษณาที่เน้นให้เห็นจุดเด่นของสินค้ามากเกินไป เช่น นมที่กินแล้วจะเก่งหรือฉลาด ของเล่นที่แปลงร่างได้เยอะเป็นการชวยเชื่อให้ซื้อสินค้า ให้ลูกตระหนัก และอย่าหลงเชื่อกับอิทธพลโฆษณา
    
สำหรับเคล็ด(ไม่)ลับ ที่ได้นำเสนอทั้งหมดนี้เป็นวิธีหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละครอบครัว เป็นการสอนให้ลูกรักสามารถควบคุมการใช้เงิน สร้างวินัยในการออม เพื่ออนาคตที่ดีของลูกรัก

เทคนิค...ไม่ให้ผู้ชายทิ้ง

เทคนิคไม่ให้ผู้ชายทิ้ง

    
ช่วงนี้มีแต่ข่าวผู้หญิงโดยผู้ชายทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก หรือแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะสวยหรือขี้ริ้ว จนหรือรวย เป็นต้น ส่วนมากคนขี้ริ้ว คนจน ๆ โดนทิ้งคนจะไม่สนใจ...ก็ไม่ดังไง
    
แต่ประเภทผู้หญิงรวยขาดใจ ก็โดนทิ้งมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าในบ้านเราหรือต่างประเทศ ไม่ว่าเป็นดาราหรือไฮโซ ทำไมผู้ชายไม่เห็นคุณค่าของผู้หญิงที่ดี ๆ หรือตาฝ้าตาฟางไปเห็นคนอื่นดีกว่า ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จะให้ใครมาชอบไม่ใช่ของยาก จะยากตรงที่ทำอย่างไรให้เขาชอบ...ผู้หญิงหลายคนบอกว่า ปีที่ผ่านมาเซ็งที่โดนหักอกหรือโดนทิ้ง ปีใหม่หรือปีถัด ๆ ไปอยากจะโชคดีกับเขาบ้าง ตอนนี้หวังแค่ปี 2554 ขอแค่ผู้ชายดี ๆ มาเห็นความดีความงามของเรา แต่การหาผู้ชายดี ๆ มาร่วมมือไม่ใช่ของง่าย ก็โดนชาวบ้านคว้าไปกินก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะให้ผู้ชายมารักและหลงใหลเราได้ก็ต้องมีจริตจะก้าน มีลีลาหรือเทคนิคบ้าง ไม่ใช่ทำตัวดูไม่ได้หรือไม่อยากจะดู (แม้แต่ผู้หญิงด้วยกัน) แล้วจะมีผู้ชายมาดูเราหรือรักเราจริง ส่วนมากจะทิ้งจริงมากกว่า ผู้หญิงส่วนมากตอนเป็นแฟนกันใหม่ ๆ จะแต่งตัวรักษารูปร่างหน้าตาให้ดูน่ารัก น่ากอด น่าจูบ แต่พอเป็นแฟนกันจริง ๆ หรือเป็นแฟนกันจนคุ้นเคย หรือแต่งงานแล้วจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว แบบคิด(อย่างปัญญาอ่อน) ว่ายังไง ๆ เขาคงตายกับเรา หารู้ไม่ว่าเขาไปมีชีวิตชีวากับผู้หญิงอื่นให้เราแทบบ้าตาย
    
ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวิตคู่ไม่ว่าจะเป็น ดร.อโวดาห์ เค ออฟฟิค หรือ ดร.แฟรอค์ เอส พิทแมน หรือลิซ่าไซมอนน์ หรือ ดร.ฟิลล์ เป็นต้น เตือนผู้หญิงว่า ผู้ชายชอบผู้หญิงที่ดูดี เรียกว่าต้องทำตัวให้เปรี้ยวหวานมันเค็ม ทั้งหน้าตารูปร่าง ไม่ใช่ปล่อยให้เหม็นหรือผมเป็นกระเซิง เสื้อผ้าดูไม่ได้ เป็นต้น
     1.
รักษาหน้าตารูปร่างให้ดี  ไม่ใช่อ้วนเหมือนหมูตอน หน้าตามันย่อง หรือหน้าเป็นรูพรุนเหมือนกระชอน ที่เป็นช่นนี้เพราะผู้ชายจะชอบผู้หญิงสวย แต่ไม่ใช่สวยแบบขนมปังคือเหนียวแข็ง ส่วนจะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ชายแต่ละคน เคยสำรวจวิจัยนักเรียนนายร้อยตำรวจอยู่หลายปี ประมาณ 1,000 คน ว่าชอบผู้หญิงผมสั้น หรือผมยาว ปรากฏว่าร้อยละ 99.99 ชอบผู้หญิงผมยาว สาว ๆ ฟังไว้ตลาดรายร้อยตำรวจต้องการผู้หญิงผมยาวนะจะบอกให้ แต่ผู้หญิงผมสั้นไม่ต้องตกใจเพราะผู้ชายบางคนบอกว่า ผู้หญิงผมสั้นก็ดูเท่ไปอีกแบบ ส่วนคนแต่งงานแล้ว ผู้ชายไม่น้อยชอบผู้หญิงผมยาว คงอยากให้ต่างจากเขา ไม่ใช่เดินเข้าบ้านก็เหมือนได้ผู้ชายมาอีกคน เช่น
    
คุณพัตรเป็นตัวอย่างที่สามีไม่ชอบให้ไว้ผมสั้น เธอจึงต้องไว้ผมยาวตลอด ก็ขี้เกียจมีปัญหาทะเลาะกันแค่เรื่องผมสั้นหรือผมยาวซึ่งคุณพัตรถือว่าเป็นเรื่องเล็กและไร้สาระ จึงไม่อยากตอแยเรื่องไม่เป็นเรื่อง และการที่จะได้สามีดีไม่ทิ้งเรา ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด เนื่องจากคนสวยมาก ๆ บางครั้งก็อาจทะนงตนว่าสวยเลยไม่ยอมเข้าใจว่าผู้ชายต้องการอะไรกันแน่ เคยสัมภาษณ์(อีกแล้ว) กับชายไม่น้อยจึงได้ข้อคิดจากพวกเขาที่ผู้หญิงน่าจะรู้เอาไว้ ผู้ชายบอกว่าอยากได้ผู้หญิงที่เป็นผู้หญิง ไม่ใช่เป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง หรือสวยอย่างตุ๊กตาแบบไม่มีชีวิตชีวา ผู้หญิงต้องจำไว้เสมอว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่สวยแบบแข็ง ๆ เหมือนตุ๊กตาในตู้ ซึ่งดูแล้วไม่เร้าใจ หรือหมดอารมณ์ เรื่องรูปร่างหน้าตาอาจเป็นสิ่งสะดุดตาในระยะแรก ๆ แต่พอคบหรืออยู่กันนาน ๆ คือเรื่องนิสัยใจคอ ก็ผู้ชายอยากหาแม่ของลูก ก็เหมือนเราอยากหาพ่อที่ดีให้แก่ลูกเช่นกัน
     2.
ชมเชยบ้าง  ผู้ชายเหมือนเด็กตัวโต อยากได้รับคำชมเชยยกย่อง ไม่อยากให้ใครมาดูถูก อยากเห็นว่าตัวเก่งเป็นแมน แต่จะวิ่งหนีเวลากลัวอะไรไปบ้างก็พอให้อภัยกันได้ วิธีชมผู้ชายทำได้ไม่ยาก ถ้ารู้จักว่าเมื่อไหร่ควรชม เมื่อไหร่ควรหยุด ไม่ใช่ชมพร่ำเพรื่อเหมือนเราโกหก ต้องชมเท่าที่จำเป็น เช่น ทำงานเก่ง แต่งตังดี ไม่ใช่เขาแต่งตัวไม่เอาไหนก็ยังชม(โกหกอีกรอบ) ว่าดี
     3.
อย่างอนเกินกว่าเหตุ  ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเรื่องมาก ปากร้าย ใจปลาซิว ผู้ชายชอบผู้หญิงที่พูดรู้เรื่อง(แม้จะไม่รู้) มีเหตุผล มีความฉลาดบ้าง ไม่ใช่ทำโง่อยู่เรื่อย หรือฉลาดเกินกว่าเขาจนเขารู้สึกโง่ ทั้ง ๆ ที่โง่จริงก็ตาม
    
ผู้หญิงต้องรู้จักระงับปากระงับคำ ระงับอารมณ์ รู้จักพูดภาษาดอกไม้ ไม่ใช่พูดแบบจุดประทัด แต่ต้องทำตัวน่ารัก นุ่มนวล มีไมตรีจิต มีมนุษยสัมพันธ์ แบบรู้เขารู้เรา ไม่ใช่รู้เขาและเอาเรื่องกันให้ได้
     4.
ให้เขาขาดเราไม่ได้  เป็นการให้เขารู้สึกว่าอยู่กับเรา แล้วเป็นสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์(ไม่ใช่ตกนรกทั้งเป็น) ไม่ว่าจะคุย หรือไปไหนกับเราดูไม่มีปัญหา หรือมีปัญหาก็ดูไม่มี เราจึงเหมือนนางในอุดมคติตามที่ฝันไว้ ส่วนจะฝันดี หรือฝันร้ายค่อยว่ากันใหม่ตอนตื่นจากฝัน
     5.
มีน้ำใจที่จะทำสิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะเป็น "น้ำคำ" ที่ต้องพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ไม่ใช่ด่าเก่งแทบนับกันไม่ทัน หรือ "น้ำมือ" ที่รู้จักทำสิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นการงาน งานบ้าน งานสังคม เป็นต้น ไม่ใช่ประเภทชอบตบตีชาวบ้าน ให้สยองขวัญกันทั่วบ้าน "น้ำใจ" เป็นการเอื้ออาทรต่อคนรอบตัว ไม่ดูดาย หรือแล้งน้ำใจ แบบเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้เราดีก็แล้วกัน
    
ที่กล่าวมานี้แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ชายไม่ทอดทิ้งเรา หรือแล่นไปหาหญิงอื่นที่เขาหลงผิด(หรือหลงถูก) ไปก็ตาม อย่างน้อยจะได้ม่ช้ำใจก่อนวัยอัยควร